วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไปทำไมอีกนะ...มาเลเซีย วันที่ 4

วันสุดท้ายของการเดินทาง เวลาของความสุขนี่มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวต้องกลับบ้านกันแล้ว วันนี้เราจะไปไหนกันดีนะ เริ่มต้นที่ใกล้ๆ กับที่กินข้าวเมื่อคืนก่อนแล้วกัน ที่ป้อมปราการ Fort Cornwallis ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สมัยนายพลฟรานซิส ไรท์ (Francis Light)


ถ่ายรูปริมทะเลกับป้อมปราการจนพอใจ พวกเราก็ขอเข้าเมืองไปเดินตลาดกันหน่อย เราไปกันที่แถว Penang bazar ก็จะขายของคล้ายๆ ตลาดเช้าบ้านเรา
 มีสถานีตำรวจอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาด
แต่ที่จะแนะนำคือห้างขายส่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดต่างหาก ชื่อว่า Mydin ของบางอย่างถูกกว่า duty fee อีก พวกขนมอะไรพวกนี้อ่ะ ไปลองเดินดูก่อน มีขายแทบทุกอย่าง บางอย่างน่าซื้อกว่า duty fee จริงๆ เค้ามีหลายสาขาทั่วมาเลย์เลยนะ http://www.mydin.com.my/mydin/stores
ช้อปของกินกันไปจนตังค์จะหมดแหละ ก็ไปเที่ยวกันต่อนะ ที่ต่อไปเราจะขึ้นเขากันอีก ไปไหว้พระที่วัดเขาเต่า หรือ Kek Lok si วัดกำลังก่อสร้างอะไรต่ออะไรเพิ่มเยอะแยะเลย แต่คนไปเที่ยวไม่เยอะมากหรอกนะเท่าที่เห็น รูปนี้วิวจากบนเขา


 ที่วัดจะมีตุ๊กตาพวกสิบสองนักษัตร ประดับอยู่ทั่ววัดเลย


 ม้านั่งน่ารักม่ะ

 และแน่นอนว่าวัดเขาเต่าต้องมีเต่า ไปให้อาหารเต่ากันหน่อยนะ อุดหนุนลุงที่ขายผักแก กำละ 1 เหรียญเอง

คาดว่าที่นี่ปกติคนมาเที่ยวกันน้อย สงสารแม่ค้าที่ขายของที่นี่ ขายของไม่ค่อยได้ ให้ราคาแบบแทบจะให้ฟรีอยู่แล้วอ่ะ ร้านหลายร้านปิดไปแหละ ไปเที่ยวส่งเสริมเค้าหน่อยเนอะ
ตอนแรกกะว่าจะไปขึ้นกระเช้าปีนังฮิลล์ ไปถึงประตูแล้วนะ แต่เปลี่ยนใจกลับดีกว่า คนเยอะมาก ขี้เกียจรอ เลยเดินทางกลับดีกว่า แล้วเราก็ขึ้นเหนือเข้าไทย ไปแวะช้อปต่อที่ duty fee และในเมื่อตังค์ยังไม่หมดก็ไปต่อกันที่ตลาดกิมหยง พร้อมกันไปกินไก่ทอดเดชาด้วย อิอิ อิ่มหนำสำราญ ตัวเบา ตังค์หมด ก็กลับบ้านได้
เจอกันทริปหน้านะ จะมารีวิวอีก

ไปทำไมอีกนะ...มาเลเซีย วันที่ 3

เช้าแล้ว เช้าแล้ว แต่ไม่มีไก่ขันปลุก วิวนอกหน้าต่างช่างสดชื่นจริงๆ อากาศบนเขาบริสุทธิ์มาก ที่ยอดเขาไกลๆโน่นมีหมอกด้วย
 ดอกไม้ยามเช้า สดชื่นแท้

เอาล่ะลุกออกไปเที่ยวกันต่อดีกว่า วันนี้เราจะลงเขากัน แต่ระหว่างทางลงเขาเราจะแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ ก็เรายังไม่ได้ชมความงามของคาเมรอนกันเท่าไหร่เลยอ่ะเนอะ เรามาเริ่มกันที่ไร่สตอเบอรี่ดีกว่า ที่ไร่นี้สามารถเข้าไปเก็บผลได้เองเลย แต่ว่าลูกมันไม่ค่อยใหญ่เหมือนที่เค้าเก็บมาขายที่ร้านขายของเขาอ่ะ
 ลูกมันเล็กๆประมาณนี้อ่ะ ใต้ต้นสตอเบอรี่เป็นต้นพาสลีย์ปลูกเป็นแถวๆ เวลารดน้ำจะได้ได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ประหยัด 555
 ที่สวยๆ ใหญ่ๆเค้าก็เก็บใส่กล่องมาขายหมดแหละ แต่ก็ไปเก็บเอาบรรยากาศแล้วกันเนอะ
ที่ไร่สตอเบอรี่นี้ยังมีแปลงผักไฮโดรอีกด้วย ก็จะมีพวกผักจำพวกผักสลัดทั้งหลายนั่นแหละปลูกเยอะๆก็ดูสวยเหมือนกันนะ
 ใต้แปลงผักก็จะมีหัวไชเท้า
นอกจากนี้บนหลังคาทางเดินก็ยังมีองุ่นอีกด้วย ใช้พื้นที่ให้คุ้มที่สุด
ที่นี่ยังมีดอกไม้ขายเป็นกระถางๆด้วยนะ
 สารพัดชนิด หลากสี เห็นแล้วแสบตากันเลยทีเดียว
 กระบองเพชรก็มีนะ
ชื่นชมกับความงามของต้นไม้ใบไม้กันอิ่มก็ลงเขามาอีก ไปเจอร้านขายต้นไม้ใหญ่มากร้านหนึ่ง ก็ขายพวกต้นไม้ อุปกรณ์ตกแต่งสวน แต่ที่แปลกคือ มีสิ่งนี้อยู่ด้วย
นางกวัก หันไปเห็นเล่นเอางง เจ้าของร้านคนไทยป่าวหว่า มีนางกวักด้วย 555 ที่นี่มีขายพวกของกินด้วยนะ น่ากินและไม่แพง
คนมาแวะที่ร้านนี้เยอะเหมือนกัน เพราะมีของให้เลือกเยอะ แต่มาแวะเข้าห้องน้ำก็คงจะเยอะเหมือนกัน 55 เด็กจีนสองคนนี้เข้ามาในร้านก็วิ่งไปทั่ว ก็มันมีของเล่นน่ารักๆ แบบนี้ด้วยนี่เนอะ

จากนั้นพวกเราก็แวะนั่งจิบชาที่ไร่ชาอีกไร่ แต่ไร่นี้ดูจะเล็กกว่าเมื่อวานแล้วก็ต้นชาดูสูงวัยไปหน่อย เดินไปตามหาหนอนกันสักหน่อย 
 หนอนไม่เจอสักตัว แต่เอ..นี่ลูกอะไรหว่า
 อ๋อ ดอกชานี่เอง
ชื่นชมกับบรรยากาศ และจิบชาชิวๆ สักพัก แล้วพวกเราก็โบกมือลาคาเมรอน เพื่อเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ จุดหมายถัดไปของเราก็คือ ปีนัง ไข่มุกแห่งเอเชียตะวันออก ใกล้บ้านเราเข้าไปทุกทีแล้ว ลงจากเขามาแล้วเราก็ขับไปยังสะพานปีนังสะพานแห่งนี้มีความยาวถึง 13.5 กิโลเมตรเลยทีเดียว อยู่เป็นอันดับ 3 ของโลกด้วย และเร็วๆนี้เราจะได้ใช้สะพานปีนังแห่งใหม่ใหม่ที่มีความยาวถึง 24 กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าจะเป็นสะพานที่มีความยาวมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 ข้ามสะพานมาก็จะเป็นเกาะปีนัง ฝั่งที่เรามาถึงจะเรียกว่า Georgetown ส่วนฝั่งตรงข้ามก็คือ Butterworth ว่าแล้วเราก็ไปเที่ยวต่อกันเลย ไปไหว้พระเป็นสิริมงคลกันสักหน่อยนะ วัดนี้เลย วัดไทยในปีนัง จากสะพานปีนังใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง ระยะทางประมาณ 23.9 กิโลเมตร(ตาม google map ไปนะ) ในวัดมีไอติมแบบไผ่ทองขายด้วยนะ
 ส่วนฝั่งตรงข้ามกับวัดไทยก็เป็นวัดพม่า ห่างกันแค่ถนนคั่น น่ารักจริงๆ คิดได้ยังไงสร้างอยู่ตรงข้ามกันเลย หน้าวัดพม่ามีคนไทยไปขายของฝากกระจุกกระจิกด้วยนะ แวะไปอุดหนุนกันได้(แอบแปลกใจว่าทำไมพี่เค้าไม่ไปขายหน้าวัดไทยแต่ไปตั้งร้านขายหน้าวัดพม่า)
คืนนี้เราจะพักกันที่โรงแรม Royal http://www.hotelroyalpenang.com/ ห้องพักโอเคนะ
หลังจากเช็คอินเก็บของเสร็จก็ออกไปเดินสำรวจแถวโรงแรมกันหน่อย ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีร้าน KFC ไม่ต้องกลัวหาของกินยากเลย ตึกแอบสวยด้วยนะ
เดินย้อนไปอีกนิดก็มีคล้ายๆศูนย์อาหารก็มีอาหารขายเยอะพอสมควร มีกะหรี่พัฟด้วย
แต่คืนนี้เราจะไม่กินกันแถวนี้หรอกเราจะไปกินข้างถนนกัน ไม่ใช่ ไปกินแนวแบบstreet food (เอ่อ มันก็ข้างถนนอะเนอะ) เป็นประมาณศูนย์อาหารกลางแจ้ง จะมีอาหารให้เลือกหลากหลายมากๆ ทั้งอาหารแนวจีน เปอรานากัน แนวอิสลาม อินเดีย ก็มี ราคาไม่แพงและอร่อยด้วย


อิ่มแล้วก็มานั่งชิวๆ ริมทะเล ชมจันทร์ แสนโรแมนติก อาหารแนว street food จะมีอยู่หลายที่ในปีนัง ไปลองกันได้ แต่ตอนนี้ง่วงแล้ว อิ่มแล้วก็ต้องนอน ขอกลับไปนอนก่อนนะ 
พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วที่จะอยู่มาเลย์ จะไปเที่ยวไหนกันต่อต้องติดตาม

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไปทำไมอีกนะ...มาเลเซีย วันที่ 2

เช้าแล้วๆ วันที่สองในกัวลาลัมเปอร์ วันนี้เรามีแพลนจะเดินทางขึ้นดอยกัน แน่นอนจุดหมายปลายทางของวันนี้คือ คาเมรอน ไปสัมผัสอากาศหนาวซะหน่อย
เริ่มต้นเช้านี้เราขอแวะถ่ายรูปที่จตุรัสเมอเดก้า Merdeka Square กันสักหน่อย แดดจัด แสงสวยแบบนี้ต้องไปหาตึกงามๆถ่ายซะหน่อย ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้างนะเหรอ บริเวณจตุรัสแห่งนี้ มีเสาธงที่มีธงชาติของมาเลเซีย

ไม่ใช่แค่นั้น เค้ามีประวัติว่า ธงชาติของมาเลเซียนี้ ได้ถูกนำขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 30 สิงหาคม 1957 เมื่อได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ
นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีน้ำพุซึ่งอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Independence square อีกด้วย
และที่สำคัญ สถานที่ที่ใครๆก็ต้องไปเก็บภาพความประทับใจกลับมาก็คือที่นี่
อาคารสุลต่านอับดุล ซาหมัด อาคารนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบมูริส คืออินเดียผสมอาหรับ ความสูงของยอดโดม 41 เมตร ออกแบบโดย A.C.Norman และถูกสร้างในปี 1894-1897 ในวันชาติตอนกลางคืนจะมีการประดับไฟด้วยนะ
ส่วนฝั่งตรงข้ามอีกฝั่งจตุรัสอีกฝั่งจะมี Royal Selangor club อยู่ อาคารสีแดงๆข้างหลังนั่นนะจ๊ะ
 สระไม่มีน้ำ แต่ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนมีน้ำ
เสาไฟทำเป็นรูปดอกไม้ด้วย
Muzium Tekstil Negara หรือ National Textile Museum ตึกนี้ก็สวยไม่แพ้กัน
Muzium Sejarah Nesional และ Kuala Lumpur City Gallery
ถ่ายรูปกับที่นี่กันพอสมควร พวกเราก็ไปกันต่อ จากจตุรัสเมอร์เดก้า พวกเราขอไปแวะซื้อป๊อปคอร์น Garrett ใต้ตึกแฝดซะหน่อย เป็นเสบียง แหะๆ ทั้งที่เพิ่งจะกินข้าวจากโรงแรมมา โดนแดดที่จตุรัสเผาซะหิวเลย พอออกจากตึกแฝดเราก็มุ่งหน้าไปพระราชวัง Istana Negara ชมความงามของประตูวังซะหน่อย(ก็มันเข้าไปข้างในไม่ได้นี่นา) ที่นี่มีพื้นที่ถึง 13 เอเคอร์ ตั้งอยู่บนสโลฟของเขาบูกิตเปตาริง ปัจจุบันที่นี่ใช้เป็น Royal museum ส่วนวังใหม่อยู่ที่ jalan duta ทางเหนือของกัวลาลัมเปอร์
ที่นี่คนเยอะมาก และเราก็โชคดีมากว่าตอนไปถึงเป็นช่วงเปลี่ยนกะของทหารหน้าวังพอดี ได้ไปสัมผัสพี่ม้ากันอย่างใกล้ชิดด้วย
 พี่ม้าตัวนี้ขี้เล่นมาก ใครมีกระเป๋าไปยืนถ่ายรูปใกล้ๆ ระวังมันงับกระเป๋าด้วยนะ
ทหารจะเปลี่ยนกะช่วงเที่ยงนะจ๊ะ ไปรอดูได้ พกร่มไปด้วยก็ดีนะ แดดร้อนมาก ถึงมากที่สุดเลย
ออกจากวังเราก็ขึ้นเหนือกันละ จะขอไปแวะสักการะ พระขันธกุมาร ที่Batu Cave ซะหน่อย Batu cave จะอยู่ห่างจากตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ 13 กิโลเมตร เป็นถ่ำหินปูนและเป็นวัดฮินดูที่มีรูปปั้นพระขันธกุมารหรือ Lord Murugan องค์ที่สูงที่สุดในโลกซึ่งมีความสูง 42.7 เมตร ใช้เวลาสร้างสามปี และนำมาประดิษฐานที่นี่ในเดือนมกราคม 2006 ที่วัดนี้ทุกปีจะมีเทศกาล Thaipusam คนฮินดูจะมากันมืดฟ้ามัวดิน เมากลิ่นกันเลย 
 ข้างในถ่ำเข้าไปชมกันได้นะมีรูปปั้นพระในศาสนาฮินดูประดับเยอะ เดินขึ้นบันไดแค่สองร้อยกว่าขั้นเอง 555 ที่นี่ไม่ได้มีแต่รูปปั้นพระขันธกุมารที่สูงเท่านั้น รูปปั้นหนุมานเองก็สูงไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ภายในวัดก็มีของขายสไตล์ภารตะอ่ะนะ แล้วก็นกพิราบเยอะมาก
 ของกินสำหรับคนหรือสำหรับนกก็ไม่รู้นะ
เราไปกันต่อดีกว่ายังคงขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้วขอแวะเติมพลังก่อนขึ้นเขาแล้วกันนะ เราไปแวะกินอาหารจีนกันที่นี่เลย Garden Seafood Restaurant http://www.foodspotting.com/places/124333-garden-seafood-tanjung-malim-tanjung-malim
 ขนมปังเนี่ยอร่อยมาก
อิ่มท้องกันแล้วก็พร้อมแล้วที่จะไปเวียนหัวกับทางขึ้นเขากันแล้ว Cameron Highland อยู่บนเขา Titiwangsa มีพื้นที่ 712 ตารางกิโลเมตร ขนาดประมาณเกาะสิงคโปร์กันเลยทีเดียว ส่วนความสูงนั้นก็อยู่ที่ระดับ 1070 -2031 เมตร แล้วแต่เขาอะนะคือมันมีหลายลูกมากเลย ที่นี่จะมีการเกษตรหลายรูปแบบ ไม่ได้มีแค่ชา กับสตอร์เบอรี่เท่านั้นนะ แต่ยังมีพวกกาแฟ ผัก ดอกไม้ ต้นไม้ กระบองเพชร สามารถเที่ยวชมกันได้แล้วแต่ชอบเลย แต่แน่นอนว่ายอดนิยมก็ต้องเป็นไร่ชา กับสตอร์เบอรี่ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพลาดได้อย่างไร ไปแวะไร่ชากันสักหน่อย โชคไม่ดีนิดหน่อยตอนขึ้นเขามาฝนตก แล้วก็ตกตลอดเป็นระยะๆ เลยไม่ได้ไปเดินในไร่ชา ได้แต่นั่งจิบชาอยู่บนร้าน
  ชานม กับชีสเค้กสตอร์เบอรี่อร่อยมาก
อย่าลืมซื้อชาเป็นของฝากกลับมาด้วยนะ ราคาไม่แพงเลย ขนมที่ใส่สตอร์เบอรี่ก็ใส่ได้สะใจมากแถมที่ชอบที่สุดคือราคาไม่แพงเลย ส่วนมื้อค่ำวันนี้ก็อากาศมันหนาวอ่ะเนอะก็ต้องขอกินหม้อไฟกันสักหน่อย

คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Heritage http://www.heritage.com.my/ 
จริงๆอยากออกมาเดินตลาดกลางคืนมากๆ เลยแต่ฝนตกทำให้ต้องนอนเล่นในโรงแรมอย่างเดียวเลย
วันที่สองก็ขอหลับก่อนเท่านี้นะ เดี๋ยวมาต่อ เรายังเที่ยวคาเมรอนกันไม่จบ พรุ่งนี้จะไปไหนกันต่อ ติดตามนะ